ความเป็นมา
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในชนบทห่างไกลและทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ยังเยาว์พระชันษา
ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ทรงทราบปัญหาต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความขาดแคลนอาหารและปัจจัยต่างๆ
การขาดบริการสาธารณสุขและการศึกษา จึงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะทรงช่วยเหลือเด็ก
เยาวชน และประชาชนที่ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารเหล่านี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารี ทรงเริ่มงานพัฒนาในปีพุทธศักราช ๒๕๒๓
โดยทรงทดลองทำโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน ๓
โรง
เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดอาหารและพัฒนาภาวะโภชนาการและสุขภาพของเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร
หลังจากนั้นได้ทรงขยายงานพัฒนาในด้านอื่นๆอีกเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น
พร้อมทั้งขยายพื้นที่การดำเนินงานมากขึ้นด้วยโดยโปรดเกล้าฯให้ “ สำนักงานโครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
สยามบรมราชกุมารี ” ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ รับผิดชอบดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ
แนวทางในการดำเนินงานโครงการพัฒนา
ในการดำเนินงาน จะเริ่มในสถานศึกษาก่อน ถ้าท้องถิ่นใดยังไม่มีสถานศึกษาก็จะเข้าไปรวมกลุ่มเด็กในพื้นที่ แล้วจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนชุมชนหรือโรงเรียน แล้วทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านกระบวนการทางการศึกษา หลังจากนั้นจึงขยายการพัฒนาไปสู่ชุมชน โดยยึดหลักการดำเนินงาน ดังนี้
แนวทางในการดำเนินงานโครงการพัฒนา
ในการดำเนินงาน จะเริ่มในสถานศึกษาก่อน ถ้าท้องถิ่นใดยังไม่มีสถานศึกษาก็จะเข้าไปรวมกลุ่มเด็กในพื้นที่ แล้วจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนชุมชนหรือโรงเรียน แล้วทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านกระบวนการทางการศึกษา หลังจากนั้นจึงขยายการพัฒนาไปสู่ชุมชน โดยยึดหลักการดำเนินงาน ดังนี้
๑. การพึ่งพาตนเอง โดยเน้นให้ทุกคนได้ช่วยเหลือตนเองก่อนเป็นอันดับแรกเช่น
การให้เมล็ด
พันธุ์พืชผัก พันธุ์สัตว์
เพื่อผลิตอาหารไว้บริโภคเอง แทนที่จะให้อาหารโดยตรง
สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ต่อไป
๒. การมีส่วนร่วม เน้นให้ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการทำโครงการได้มีส่วนในการช่วยคิด
ช่วยทำ เช่น การที่ผู้ปกครองและเด็ก
ต้องร่วมกันวางแผนและทำการผลิตทางการเกษตร จัดเวรในการประกอบอาหารกลางวัน
ซึ่งมีผลทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
ได้เรียนรู้และเข้าใจในกิจกรรมที่ทำอยู่
๓. การพัฒนาแบบองค์รวมโดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ โดยเน้นการพัฒนาในทุกๆ ด้านไป
พร้อมๆ กัน
นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายจะต้องได้รับความรู้จากกิจกรรมที่ทำ
และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตต่อไปได้ เช่น
โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน
มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารมีการดำเนินกิจกรรมให้ความรู้ด้านเกษตรกรรมและกลุ่มเป้าหมายได้ปฏิบัติจริงทั้งการปลูกและประกอบอาหาร
นอกจากนี้ยังมีการสอดแทรกหลักสูตร สหกรณ์ในการผลิต
เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มผลิตและจำหน่ายผลผลิตที่เหลือ
ผลที่ได้นอกจากจะมีอาหารรับประทานแล้ว ยังเกิดการรวมกลุ่มกันทำงาน
และมีรายได้เสริม
๔. พัฒนาระบบประสานงานความร่วมมือจากทุกส่วน ในการช่วยหลือ จากภาครัฐบาลและ
ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ
มีการจัดทำแผนงานหลักของโครงการทุกๆ ระยะ ๕ ปี
เพื่อให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางทำให้งานต่างๆ
มีความก้าวหน้าไปอย่างมีประสิทธิภาพ
๕. พัฒนาผู้ปฏิบัติงานให้มีความรู้และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยมีการอบรม การ
ประชุมสัมมนา การศึกษาดูงาน
เพื่อให้ความรู้และเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ปฏิบัติงานโครงการเป็นประจำ
รวมทั้งมีการประเมินและรายงานผลการดำเนินงานเป็นระยะ
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานทราบถึงความก้าวหน้าของโครงการ
และสามารถนำไปปรับปรุงการดำเนินงานได้
๖. ยึดหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น กิจกรรมการ
พัฒนาต่างๆ
จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และนำภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้
การดำเนินงานโครงการพัฒนาตามพระราชดำริในถิ่นทุรกันดาร ยึดหลักการอนุรักษ์วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมที่ดีงามของท้องถิ่น โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น ๖ ด้านใหญ่ๆ คือ
ปัจจุบันการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ดำเนิน
ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน ๑๘๓ โรง ใน ๓๘ จังหวัดทั่วประเทศ โรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗๘ โรง ใน ๒๒ จังหวัด ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” และศูนย์การเรียนชุมชน สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จำนวน ๒๖๖ ศูนย์ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน ๑๕ โรง ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาเด็กวัยเตาะแตะในพื้นที่จังหวัดสกลนคร น่าน และตาก จำนวน ๓๐ ศูนย์ โรงเรียนในสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน ๗ โรง โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในพื้นที่จังหวัดน่าน แพร่ และเชียงราย สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๓๙ โรง และโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๒๗ โรง รวมมีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด ๗๔๕ แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูลปีการศึกษา ๒๕๕๒)
ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ที่อยู่ในเขตความรับผิดชอบของกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน ๑๘๓ โรง ใน ๓๘ จังหวัดทั่วประเทศ โรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗๘ โรง ใน ๒๒ จังหวัด ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” และศูนย์การเรียนชุมชน สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จำนวน ๒๖๖ ศูนย์ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน ๑๕ โรง ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาเด็กวัยเตาะแตะในพื้นที่จังหวัดสกลนคร น่าน และตาก จำนวน ๓๐ ศูนย์ โรงเรียนในสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จำนวน ๗ โรง โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในพื้นที่จังหวัดน่าน แพร่ และเชียงราย สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน ๓๙ โรง และโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๒๗ โรง รวมมีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด ๗๔๕ แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูลปีการศึกษา ๒๕๕๒)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น